แฟชั่นสุดฮิตของสาวชิคกับ ลายสัก แบบมินิมอล หรือ รอยสักเล็กๆ สำหรับสาวฮิปเตอร์ที่กำลังมาแรง! เพราะสังคมในปัจจุบันเริ่มเปิดกว้างในเรื่อง การสัก มากขึ้น จนทำให้ตอนนี้ เทรนด์การสักลายแบบมินิมอล กลายเป็นอีกหนึ่งแฟชั่นที่มีทั้งสาวไทยและเซเลบต่างประเทศให้ความนิยม รอยสักเล็ก แบบนี้นี่แหละค่ะที่จะทำให้คุณดูดีมีอะไรให้น่าค้นหา ที่สำคัญไม่ต้องเจ็บตัว แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เราก็ได้ รอยสักเล็กๆ แต่เก๋ได้แล้วค่ะ
ลายสักแบบมินิมอล
ลายสักแบบมินิมอล เป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่น เหมือนเป็นเครื่องประดับเกร๋ๆ เนื่องจากเป็นการสักลาย ที่มีขนาดเล็กจิ๋ว แต่แฝงไปด้วยความหมายที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของผู้สักลาย ผู้ที่นิยมสักลายตามร่างกาย มักจะเลือกลายสัก ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวผู้สักเอง บ่งบอกถึงคุณค่า และตัวตนของผู้สักได้เป็นอย่างดี
และอย่าลืมว่าถึงจะอินเทรนด์ขนาดไหน การสักบนร่างกาย ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง อย่างในเรื่องการทำงาน เพราะการทำงานบริษัทบางที หรือรับราชการ ยังมองว่ารอยสักเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ควรคิดให้ดีว่าเป็นความชอบหรือว่าแค่ทำตามกระแสนะคะ
สำหรับสาวๆ ที่มีไอเดียพุ่งขึ้นมาแล้วว่าจะอินกับรอยสักมินิมอล วันนี้เรามี รอยสักเล็กๆ น่ารักๆ 50 แบบ 50 สไตล์ มาให้ได้ชมกันค่ะ (ลองเลื่อนไปดูรูปภาพการสักลายด้านล่างได้เลย)
ลายสักแบบไหนสักลายยากที่สุด
คนที่มาอาชีพเป็นช่างรับสักลายตามร่างกาย ต่างเห็นตรงกันว่าลายสักแนว Realistic และ Portrait เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด เพราะช่างมักจะกังวลอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรงานที่ออกมาถึงจะเหมือนกับต้นแบบได้เป๊ะๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปคน สัตว์ หรือสิ่งของ ต้องมีการเน้นเรื่องของอารมณ์ แสง และเงาให้เหมือนกับต้นแบบให้มีความเสมือนจริงมากที่สุด ช่างที่รับสักลายแนวนี้จึงต้องมีฝีมือในการสักลายมาก หากใครคนไหนที่สนใจสักลายแนว Realistic หรือ Portrait ก็ควรเลือกช่างที่มีความชำนาญสักหน่อย งานจะได้ออกมาเป็นที่พอใจของเรา ไม่ต้องมีการแก้ไขให้ยุ่งยาก
10 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจสักลาย
1. ศึกษาแบบลายที่ต้องการ เพื่อนำไปสอบถามลายละเอียดเพิ่มเติมกับช่างสักลาย
2. ค้นหาช่างที่มีฝีมือ ในแนวทางลายแบบที่ตัวเองต้องการ เนื่องจากช่างสักลายแต่ละคน จะมีความถนัดในแบบลายไม่เหมือนกัน เช่น ช่างคนนี้อาจมีความชำนาญในลายดอกไม้ เส้นคมสวย ลงสีสวยเป็นพิเศษเป็นต้น ซึ่งสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้ไม่ยาก
3. เตรียมคิดไว้ในใจว่าต้องการสักลาย ตรงตำแหน่งไหนของร่างกาย ซึ่งการจัดวางตำแหน่ง เราอาจจะใช้ วิธี ปริ้นลายที่ต้องการ แล้วนำมาแป๊ะทาบตรงตำแหน่งที่เราต้องการสักลาย หรือ ทดลองเขียนด้วยปากกาหมึกที่สามารถล้างออกได้
4. ร้านสักลาย บางร้านจะไม่สักให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเนื่องจากยังมีวุฒิภาวะในการตัดสินใจน้อยมาก อาจเป็นการสักลายตามแฟชั่น ตามดารา
5. การสักลายจะอยู่ติดตัวไปตลอดชีวิต ถึงแม้จะทำการลบ ก็ยังเห็นรอยสักจางๆ อยู่ ดังนั้น จึงต้องตัดสินใจให้ดีก่อนสักลาย
6. ปกติการสักลายจะเจ็บมากอยู่แล้ว แต่การสักลายแบบมินิมอล เป็นการสักลายที่มีขนาดเล็ก ดังนั้นความเจ็บปวดจึงน้อยกว่า ในระดับที่ทนได้ และระดับความเจ็บจะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการสักลาย หากเป็นบริเวณกลางหลัง หรือ กระดูกซี่โครงด้านข้าง จะเจ็บมากกว่าบริเวณที่ไม่มีกระดูก
7. ว่าด้วยเรื่องของราคา ปกติการสักลายขนาดเล็ก เริ่มต้นที่ 500 บาทไปจนถึงหลักหลายพัน ขึ้นอยู่กับขนาดของลายสัก สีที่ใช้ลง และ ฝีมือของช่างสักลาย หากช่างมีฝีมือมีชื่อเสียง แม้ลายสักขนาดเล็กก็จะมีราคาสูง เนื่องจากฝีมือความคมชัดของเส้น การลงสี และความชำนาญ ขอเตือนว่า ควรเลือกสักลายกับช่างมีฝีมืออย่าเห็นแก่ความถูก เนื่องจากการลบลายเจ็บกว่าการสักลายใหม่หลายเท่า และ จะเห็นเป็นรอยจางไม่ได้ลบหายไปเลย
8. จรรยาบรรณของช่างสักลาย ควรแนะนำเกี่ยวกับลายสักให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน และช่างควรบอกได้ถึงความถนัดของตัวช่างเอง ควรจะจริงใจไม่สักลายที่ตัวเองไม่ถนัดแก่ลูกค้า และควรมีพฤติกรรมที่สุภาพให้เกียรติ ไม่ลวนลามลูกค้า กรณีลูกค้าเป็นผู้หญิง
9. ระยะเวลาในการสักลายแต่ละครั้ง ใช้เวลาน้อยมาก ลายสักขนาดเล็ก ลายตัวอักษร เริ่มต้นที่ 15 นาทีเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันมีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยจึงสามารถทำได้รวดเร็วมากขึ้น แต่ถ้าหากต้องการลายสักที่ซับซ้อนก็จะใช้เวลานานมากขึ้น ตามลำดับ
10. ข้อสุดท้ายสำคัญมาก ร้านที่เราตัดสินใจไปใช้บริการ ควรจะมั่นใจได้ว่าสะอาดปลอดภัย
หมายเหตุ: การสักลายเป็นความชอบส่วนบุคคล ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจสักลาย ไม่ควรสักตามแฟชั่น หรือตามดารา ควรพิจารณถึงผลกระทบในการทำอาชีพการใช้ชีวิตประจำวันเป็นสำคัญ
———-
สักแบบไหนจึงอยู่คงทน
การสักลายที่บริเวณหลัง หรือท้องแขนจะทำให้รอยสักอยู่คงทนขนาดไหนไม่มีใครรู้ นั่นขึ้นอยู่ที่ฝีมือของช่างที่สักลายด้วย เพราะหากเป็นช่างที่มีประสบการณ์และมีความเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะสักที่ส่วนไหนของร่างกายก็สามารถทำให้รอยสักสมบูรณ์อยู่คงทนได้นานเช่นกัน นอกจากนี้ สภาพผิวหนังของผู้ที่สักและการดูแลก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รอยสักอยู่ทนสวยนานอีกด้วย
5 ขั้นตอนดูแลรอยสัก เมื่อสักเสร็จ
ไม่ว่าจะเป็นการสักลายครั้งแรก หรือเป็นการเพิ่มลวดลายใหม่ๆ ให้กับลายสักของคุณ ของให้คำนึงอยู่เสมอว่า การสักลาย ก็เปรียบเสมือนการลุง การดูแลรอยสักอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มก็จะทำให้การลงทุนของคุณในแต่ละครั้งมีความยั่งยืน นั่นก็หมายถึงลายสักก็จะอยู่ทน ดูสวยงามได้ไปอีกนานๆ โดยการดูแลรอยสักอย่างถูกต้องหลังจากที่การสักเสร็จสิ้นนั้นสำคัญมากพอๆ กับการเลือกรูปลายสักและเลือกช่างสักเลยทีเดียวเชียวล่ะ ยิ่งถ้าคุณเดินทางไปสักกับร้านสักลายที่มีชื่อเสีย อีกทั้งมีบรรดาช่างสักลายที่เป็นมืออาชีพ โอกาสที่จะเกิดอันตรายกับผิวหนังก็แทบจะไม่เกิดขึ้นได้เลย แต่ ! ไม่ได้หมายความว่าคุณเองจะไม่ต้องดูแลลายสักนะ ทุกอย่างยังคงต้องเหมือนดั่งปกติ บอกแล้วว่าการสักก็เหมือนกับการลงทุน ถ้าไม่ดูแลให้ดียังไงก็เจ๊ง รอยสักก็เช่นกัน คราวนี้ถึงเวลาที่จะมาดูแลรอยสักกันแล้วเพียงทำตาม 5 ขั้นตอนง่ายๆ
1. แกะพลาสติกปิดแผลหลังจากสักลายเสร็จประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง
2. ล้างรอยสักด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือล้างแผล เพื่อเป็นการล้างคราบเลือดและน้ำเหลือง เน้นย้ำว่า ขั้นตอนนี้สำคัญมาก ห้ามทำความสะอาดรอยสักด้วยสบู่ หรือแชมพู หากว่าลายสักโดนสบู่ หรือแชมพูก็ให้รีบล้างออกโดยทันที แต่ยังคงสามารถอาบน้ำได้ตามปกติ งดแช่น้ำเป็นเวลานานๆ
3. ใช้มือลูบเบาๆ บริเวณลายสักเพื่อเป็นการทำความสะอาด และซับน้ำบริเวณลายสักให้แห้งสนิท ซึ่งหลังจากการอาบน้ำก็ควรซับน้ำให้แห้งสนิทในบริเวณที่มีการสักลาย
4. หลังช่วงเวลาประมาณ 3 – 4 วัน รอยสักก็จะเริ่มตกสะเก็ด ปล่อยให้สะเก็ดแผลแห้งเองตามธรรมชาติ หากมีอาการคันให้ใช้ Baby Oil สำหรับเด็กทาบริเวณรอยสัก ห้ามแกะ หรือเกาโดยเด็ดขาด !
5. หลังจากช่วงเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ สะเก็ดจะหลุดลอกจดหมดและจะมีหนังกำพร้าปกคลุมอยู่ ให้ทาโลชั่นเพื่อเป็นการบำรุงผิว โดยสามารถใช้โลชั่นที่ใช้อยู่เป็นประจำได้ตามปกติ บอกเลยว่าผิวยิ่งดี รอยสักยิ่งสวย ซึ่งหลังจากที่รอยสักหายเป็นปกติแล้วงดการถูกแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าหากจำเป็นต้องไปอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานจะต้องทาโลชั่นกันแดดก่อนออกแดดทุกครั้ง
การป้องกันการติดเชื้อจากการสัก
ปัจจุบันการติดเชื้อที่เกิดจากการสักลายแทบจะเรียกได้ว่ามีโอกาเป็นศูนย์หากว่าเราเดินทางไปสักกับช่างที่มีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งช่างมักจะทำความสะอาดบริเวณที่สักก่อนเสมอ อีกทั้งยังใช้เข็มใหม่สักให้ทุกครั้ง แต่กระนั้นก็อย่าลืมที่จะทำตาม 5 ขั้นตอนดูแลรอยเมื่อสักเสร็จ ด้วย
อย่างไรก็ตามหากว่าบริเวณลายสักนั้นเกิดอาการติดเชื้อขึ้นเราจะรู้ได้อย่างไร ? วิธีการสังเกตง่ายๆ ถ้าหากบริเวณที่สักมีการติดเชื้อ จะมีการแดง บวม และจะปวดมากเมื่อถูกสัมผัส (หากดูแลรอยสักเป็นอย่างดี ประมาณ 2 – 3 วัน ก็จะไม่มีอาการเจ็บ) แต่หากว่ามีอาการเจ็บ หรือปวกที่บริเวณลายสักเพิ่มขึ้น แทนที่จะลดน้อยลง นี่แหละ ! เป็นสัญญาณของการติดเชื้อผิวหนังในบริเวณที่สัก แนะนำให้ไปคลินิค หรือโรงพยาบาลผิวหนังโดยทันทีเพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะดีกว่า จะได้ปลอดภัย รักษาได้ทันท่วงที