กัญชง ถูกปลดล็อกให้ประชาชนนำไปปลูกและใช้ประโยชน์จากกัญชงได้ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 ซึ่งเมื่อได้ยินชื่อกัญชงในข่าว หลายคนก็สงสัยว่าเป็นสมุนไพรชนิดเดียวกับกัญชาไหม หรือมีสรรพคุณต่างกันอย่างไร ใครปลูกกัญชงได้บ้าง เอาเป็นว่าเรามาไขความกระจ่างกันเลยดีกว่า
กัญชง คืออะไร
กัญชง คือ พืชชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณทางยา โดยกัญชงมีชื่อภาษาอังกฤษว่า เฮมพ์ (Hemp) ส่วนชื่อทางวิทยาศาสตร์ของกัญชง คือ Cannabis sativa L.subsp. sativa อยู่ในวงศ์ CANNABACEAE วงศ์เดียวกับกัญชา แต่เป็นสายพันธุ์ย่อย โดยกัญชงเป็นพืชดั้งเดิมที่ขึ้นอยู่ในเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย และสันนิษฐานว่ามีการกระจายพันธุ์เป็นบริเวณกว้างอยู่ทางตอนกลางของทวีป ตั้งแต่ทะเลสาบแคสเปียนไปจนถึงทางตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัยและทางตะวันตกของไซบีเรีย ก่อนจะกระจายไปในที่ต่าง ๆ รวมถึงพื้นที่สูงในประเทศไทย
ทั้งนี้ ลักษณะกัญชงจะเป็นต้นสูงเรียว ใบกัญชงเป็นใบเดี่ยว สีเขียวอ่อน ลักษณะใบกัญชงเหมือนรูปฝ่ามือ ใบเป็นแฉกมีประมาณ 7-11 แฉก ต่อ 1 ใบ ขอบใบเหมือนใบเลื่อย ปลายใบเรียวแหลม ก้านใบยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ดอกกัญชงจะออกดอกตามซอกใบ ปลายยอดออกดอกเป็นช่อมีสีขาวขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 มิลลิเมตร ส่วนผลกัญชงมีลักษณะเป็นรูปไข่กลมรี ผิวเรียบมันมีลายสีน้ำตาล ผลเป็นเมล็ดแห้งสีเทา ภายในเมล็ดมีสารอาหารจำพวกแป้งและไขมันจำนวนมาก
กัญชง เป็นสารเสพติดหรือไม่
เดิมทีกัญชงถูกจัดให้เป็นพืชที่อยู่ในบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เนื่องจากกัญชงเป็นพืชสายพันธุ์ย่อยของกัญชาที่มีสารเสพติดออกฤทธิ์สำคัญที่ชื่อว่า เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ซึ่งออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผู้เสพมีอาการตื่นเต้น ช่างพูด หัวเราะตลอดเวลา ดังนั้น การผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง หรือแม้แต่เสพ จะมีโทษทางอาญา
แต่หลังจากที่กัญชงถูกปลดล็อก ส่วนเปลือกกัญชง ลำต้น เส้นใย ราก ใบจริง/ใบพัด กิ่ง/ก้าน เปลือกแห้ง แกนลำต้นแห้ง เส้นใยแห้ง กากจากการสกัด สารสกัด CBD ที่มี THC ไม่เกิน 0.2% รวมทั้งเมล็ดกัญชง น้ำมันและสารสกัดจากเมล็ดกัญชง ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด ยกเว้นช่อดอกกัญชงที่ยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 อยู่ ดังนั้นการปลูกกัญชงจึงต้องขออนุญาตอย่างถูกต้องก่อน
ภาพจาก FDA Thai
กัญชง VS กัญชา แตกต่างกันอย่างไร
กัญชงอาจมีลักษณะภายนอกค่อนข้างคล้ายกับกัญชา เพราะเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดเดียวกัน อยู่ในวงศ์เดียวกัน ทว่าต่างสายพันธุ์กัน และถ้าสังเกตให้ดี ๆ ลักษณะกัญชงและกัญชาก็มีความแตกต่างกัน
ใบ
ใบกัญชงจะเรียว เรียงตัวห่างกว่าใบกัญชา เป็นแฉกมากกว่า โดยใบกัญชงมีประมาณ 7-11 แฉก มีสีเขียวอ่อน ขณะที่กัญชาจะมีใบหนากว้าง เรียงตัวชิดกัน มีแฉกประมาณ 5-7 แฉก และมีสีเขียวเข้ม
กัญชง
กัญชา
ลำต้น
ลำต้นของกัญชงสูงเรียวมากกว่า 2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาน้อย ลำต้นเป็นปล้องหรือข้อยาว เปลือกเหนียวลอกง่าย จึงให้เส้นใยที่ยาวและมีคุณภาพสูง
ส่วนต้นกัญชาจะมีลักษณะเป็นพุ่ม ค่อนข้างเตี้ย มักสูงไม่เกิน 2 เมตร ลำต้นเป็นปล้องหรือข้อสั้น แตกกิ่งก้านมาก เปลือกลอกยาก ให้เส้นใยที่ยาวแต่มีคุณภาพต่ำกว่ากัญชา
เมล็ด
เมล็ดกัญชงจะมีขนาดใหญ่ ผิวเมล็ดเรียบ และมีลายบ้าง ส่วนเมล็ดกัญชาจะมีขนาดเล็กกว่า ผิวมีลักษณะมันวาว
ปริมาณสาร THC (Tetrahydrocannabinol)
นอกจากนี้ความแตกต่างอีกอย่างระหว่างกัญชงกับกัญชา จะดูกันที่ปริมาณสาร THC หรือสารเมา ตามกฎหมายไทย ถ้ามีสาร THC ไม่เกินร้อยละ 1 ของใบหรือช่อดอกแห้ง จะเป็นกัญชง (ในอเมริกากำหนดให้ THC ต้องไม่เกินร้อยละ 0.3) แต่หากมีสาร THC เกินร้อยละ 1 จะเป็นกัญชา กรณีอยู่ในรูปของสารสกัด กัญชงต้องมี THC ไม่เกินร้อยละ 2 จึงจะไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5
ทั้งนี้ ปริมาณสาร THC ในกัญชง ยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในการปลูกด้วยเช่นกัน หากปลูกกัญชงในสภาวะที่ไม่เหมาะสมก็อาจทำให้มีสาร THC สูงและเข้าข่ายเป็นกัญชาได้
ปริมาณสาร CBD (Cannabidiol)
สาร CBD หรือแคนนาบินอยด์ เป็นสารที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น ช่วยลดอาการปวด แก้อาการนอนไม่หลับ รักษาอาการลมชัก ฯลฯ แต่ไม่ทำให้เมา และไม่ทำให้เกิดการเสพติดเหมือนกับสาร THC ซึ่งในกัญชงจะมีสัดส่วนสาร CBD ต่อ THC สูงกว่ากัญชา โดยพบสาร CBD ในกัญชงประมาณ 2% ขึ้นไป ขณะที่ในกัญชามีสารชนิดนี้อยู่น้อยมาก ไม่ถึง 2%
ทั้งนี้ เนื่องจากกัญชงมีสารเมาน้อย จึงมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทน้อย ดังนั้นกัญชงจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ มากกว่าใช้เป็นสารเสพติดอย่างที่กัญชาเป็น
กัญชง กับสรรพคุณทางยา
อย่างที่ทราบว่า กัญชง มีสารสำคัญคือ CBD และมีสาร THC ในปริมาณน้อย หากนำมาทำเป็นสารสกัดที่มี CBD เป็นส่วนประกอบหลัก และมี THC ไม่เกิน 0.2% ก็สามารถนำไปผลิตเป็นยา หรือยาสมุนไพรได้ โดยสรรพคุณทางยาของกัญชงที่มีการศึกษาวิจัยพบ มีดังนี้
1. ช่วยผ่อนคลาย เพิ่มความสดชื่น
2. แก้นอนไม่หลับ
3. ลดอาการปวดศีรษะ ปวดไมเกรน
4. บำรุงโลหิต
5. เมล็ดกัญชงมีกรดไขมันดีอย่างโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
6. ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด
7. กระตุ้นความอยากอาหาร
8. ต้านการอักเสบ
9. ต้านเชื้อจุลชีพและเชื้อรา
10. รักษาโรคท้องร่วง โรคบิด
11. ต้านอาการโรคลมชัก
12. รักษาโรคทางด้านประสาทต่าง ๆ
ประโยชน์ของกัญชง ที่กำลังถูกชงให้เป็นพืชเศรษฐกิจ
นอกจากสรรพคุณทางยาแล้ว กัญชงยังมีประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมด้วย คือ
เปลือกและต้นกัญชง
มีเส้นใยคุณภาพสูง ยืดหยุ่น ทนทาน แข็งแรง สามารถใช้เป็นวัตถุดิบเสื้อผ้า เสื้อเกราะ กันกระสุน เชือกต่าง ๆ โดยปัจจุบันตลาดเครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับที่ผลิตจากเส้นใยกัญชงกำลังได้รับความนิยม เนื่องจากเส้นใยแข็งแรงกว่าผ้าฝ้าย ดูดซับความชื้นได้ดีกว่าไนลอน อบอุ่นกว่าลินิน จึงมีความเบา สวมใส่สบาย ขณะที่งานวิจัยของสถาบันฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์แห่งชาติประเทศจีน ยังพบว่า ผ้าที่ทอจากเส้นใยกัญชงเพียงครึ่งหนึ่งก็สามารถช่วยป้องกันรังสี UV ได้สูงถึง 95% ต่างกับเสื้อผ้าที่ทอด้วยผ้าประเภทอื่นจะป้องกันรังสี UV ได้เพียง 30-50% เท่านั้น
เนื้อต้นกัญชง
ใช้ทำเยื่อกระดาษ ซึ่งมีข้อดีตรงที่ปลูกง่ายและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วกว่าพืชที่ใช้ทำกระดาษประเภทอื่น ๆ เช่น สน ยูคาลิปตัส อีกทั้งสามารถปลูกกัญชงซ้ำในพื้นที่เดิมได้ต่อเนื่อง และใช้ทุนน้อย ต่างจากต้นสน ยูคาลิปตัส ที่ปลูกซ้ำได้ไม่กี่ครั้ง
เมล็ดกัญชง
มีโปรตีนที่มีคุณภาพสูงกว่าโปรตีนถั่วเหลือง และมีไฟเบอร์สูง ราคาถูก จึงนำมาใช้เป็นอาหารทดแทนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง รวมทั้งนำเมล็ดกัญชงมาผลิตแป้งเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบประกอบอาหารได้อีก ในอนาคตอาจใช้เป็นทางเลือกในการบริโภคแทนถั่วหลืองซึ่งเป็นพืช GMOs (พืชดัดแปลงพันธุกรรม) ก็เป็นได้
น้ำมันจากเมล็ดกัญชง
มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ นอกจากใช้เป็นอาหารแล้ว น้ำมันจากเมล็ดกัญชงยังถูกนำไปผลิตเป็นสบู่ เครื่องสำอาง ครีมกันแดด โลชั่นบำรุงผิว ลิปสติก ครีมน้ำมันเพื่อรักษาโรคผิวหนัง หรือแม้กระทั่งน้ำมันเชื้อเพลิง
ขณะที่แกนต้นยังนำไปทำพลังงานชีวมวลได้ด้วย โดยรวมจะเห็นว่ากัญชงเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบทางด้านอุตสาหกรรม และคาดว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้กับประเทศต่อไปในอนาคต
โทษของกัญชง ใช้ผิด ๆ ก็อันตราย
แม้กัญชงจะมีสารเมาในปริมาณน้อย แต่หากใช้เสพด้วยการสูบอาจได้ฤทธิ์เมาที่แรงและรวดเร็วกว่าการรับประทานกัญชงเป็นอาหาร และหากเสพมาก ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการประสาทหลอน หวาดระแวง กังวล และเสี่ยงซึมเศร้า เช่นเดียวกับการเสพกัญชา
ปลูกกัญชงผิดกฎหมายหรือไม่
ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ทุกคนสามารถปลูกกัญชงอย่างถูกกฎหมายได้ ภายใต้ข้อกำหนด ดังนี้
1. ต้องมีใบอนุญาตการปลูกจากกระทรวงสาธารณสุข
2. ปลูกกัญชงได้ครัวเรือนละไม่เกิน 1 ไร่
3. ปลูกกัญชงสายพันธุ์ที่รัฐกำหนดให้เท่านั้น
4. หากจะนำเมล็ดกัญชงไปปลูก แม้จะเป็นเมล็ดกัญชงจากผู้ที่ได้รับอนุญาตปลูกตามกฎหมาย แต่ผู้ปลูกก็ต้องขออนุญาตปลูกตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดด้วย
ทั้งนี้ สามารถปลูกกัญชงเพื่อใช้ในการแพทย์ การศึกษาวิจัย การใช้ตามวิถีชีวิต ใช้เป็นเมล็ดพันธุ์รับรอง ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม เพื่อนำส่วนต่าง ๆ ของกัญชงไปแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพต่าง ๆ ทั้งยา อาหาร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ คือ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ดังนั้นหากอยากปลูกกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจก็ไปยื่นเรื่องขอปลูกกัญชงกันได้เลยค่ะ
อยากปลูกกัญชง ลงทะเบียนอย่างไร ใครปลูกได้บ้าง
หากอยากปลูกกัญชง ต้องทำอย่างไร ใครปลูกได้บ้าง ลองเช็กเลย
คุณสมบัติผู้ปลูก
เกษตรกร
ประชาชนทั่วไป
วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์
นิติบุคคลสัญชาติไทย
หน่วยงานของรัฐ หรือเอกชน
ติดต่อขอปลูกกัญชงได้ที่ไหน
กรุงเทพฯ : ติดต่อได้ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ต่างจังหวัด : ติดต่อได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในท้องที่ที่ผลิตจำหน่าย หรือมีกัญชงไว้ในครอบครอง
กรณีต้องการนำเข้าหรือส่งออกกัญชง ให้ขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ภาพจาก FDA
เอกสารที่ต้องเตรียม
1. แบบคำขอรับอนุญาต (แบบกัญชง 3)
2. แผนการนำเข้า แผนการใช้ประโยชน์
3. ใบรับรองของผู้ผลิตในต่างประเทศ
4. เอกสารหรือหลักฐานเพิ่มเติมอื่น ๆ
ภาพจาก FDA Thai
มีกัญชงไว้ในครอบครองผิดกฎหมายไหม
การครอบครองต้นกัญชงที่ยังมีชีวิตยังถือเป็นยาเสพติด เพราะส่วนช่อดอกกัญชงไม่ได้ถูกปลดล็อกจากการเป็นยาเสพติด ดังนั้น การปลูกกัญชงต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน หากปลูกเอง หรือมีต้นกัญชงไว้ในครอบครอง จะเท่ากับผิดกฎหมาย
ยกเว้นว่าจะครอบครองกัญชงในส่วนที่ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ แต่ต้องมาจากต้นกัญชงที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
ผลิตสินค้าจากกัญชงขายเองได้ไหม
สามารถนำกัญชงมาแปรรูป หรือทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกวางจำหน่ายได้ แต่ต้องขอเลข อย. ก่อนขาย หรือหากจะส่งออกต่างประเทศก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศปลายทางด้วย
ที่สำคัญหากไม่ได้ขออนุญาตปลูกกัญชงเอง การนำกัญชงมากินหรือใช้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ต้องเป็นกัญชงที่ซื้อจากผู้ที่ได้รับอนุญาตปลูกแล้วเท่านั้นนะคะ เพราะหากครอบครองกัญชงโดยไม่ทราบแหล่งที่มาที่ชัดเจน จะถือว่าผิดกฎหมาย