แต่ละคนมีนิสัยที่แตกต่างกันไปตามวิธีเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัย และแน่นอนรวมไปถึงอิทธิพลที่ได้รับจากราศีเกิดด้วย วันนี้ PlazaThai มีคำทำนายนิสัยจาก โหรชี้ชัด ว่าด้วยการทำนายนิสัย 12 ราศีจากจริตอุปนิสัย 6 ประการ ไปดูกัน….
จริต 6 หรือ อุปนิสัย 6 ประการ จิตของเราเมื่อได้รับการอบรมจากสิ่งแวดล้อมชนิดใดบ่อยๆ หรือเข้าไปเสพคุ้นกับสิ่งใดบ่อยๆ ก็จะเกิดความคุ้นเคยและพึงพอใจในสิ่งนั้น แล้วก็เลยเกาะเกี่ยวพัวพันอยู่กับสิ่งนั้น การที่จิตท่องเที่ยววนเวียนไปตามอารมณ์ประเภทที่จิตชอบนั่นเอง เรียกว่า “จริต” คำว่า จริตก็แปลว่าจิตที่เที่ยวไป เช่น จิตที่เที่ยวไปในทางดี เราเรียกว่า สุจริต ถ้าจิตเที่ยวไปในทางชั่ว เรียกว่า ทุจริต … คำว่า จริต ยังแปลได้ว่า ความประพฤติ , กิริยาอาการ อีกด้วย
พระพุทธองค์ทรงจำแนกจริตของแต่ละบุคคลไว้เป็น 6 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ราคะจริต (โลมเล้า,รักสวยรักงาม) โทสะจริต (หงุดหงิด,รีบร้อน) … โมหะจริต (หลง,ติด,ซึมเศร้า) … วิตกจริต (ระแวง,กังวลมาก) … ศรัทธาจริต (บูชา,ความเชื่อ) และ พุทธิจริต (ฉลาด,มีปัญญา) … ดวงดาวในทางโหราศาสตร์ ก็มีจริตของดาวแต่ละดวงตามหลักธรรมแห่ง จริต 6 แล้วก็สะท้อนเป็นอุปนิสัยของคน 12 ราศีได้ เช่นกัน ดังนี้
1. ราคะจริต (ดาวพระจันทร์,ดาวพระศุกร์)
:ลักษณะดาวผู้ครองราคะจริตเป็นคนที่บุคลิกดี มีมาดมีฟอร์ม น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ ติดในความสวย ความงาม ความหอม ความไพเราะ ความอร่อย ความสะอาด ไม่ชอบคิดอะไรให้มากความ แต่ช่างจินตนาการเพ้อฝัน มีเสน่ห์ มีอารมณ์ขัน แฝงเจ้าเล่ห์ ชอบคำหวาน
ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นจุดร่วมจริตของ ราศีกรกฎ ราศีพฤษภ ราศีตุลย์ ซึ่งมีความประณีต อ่อนไหว และละเอียดอ่อน ช่างสังเกต เก็บข้อมูลเก่ง มีบุคลิกหน้าตาเป็นที่ชอบและชื่นชมของทุกคนที่เห็น วาจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เก่งในการประสานงาน การประชาสัมพันธ์ และงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ
2. โทสะจริต (ดาวพระอังคาร)
:ลักษณะ จิตขุ่นเคือง โกรธง่าย โมโหร้าย คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิด พูดตรงและแรง ชอบตัดสินชี้ถูกชี้ผิด แต่จะไม่ชอบให้ใครมาชี้จุดด้อยจุดผิดของตน เจ้าระเบียบ เคร่งกฎเกณฑ์ แต่งตัวประณีตสะอาดสะอ้าน เชิดหน้า เดินตรง ก้าวไว
ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นจุดร่วมจริตของ ราศีเมษ ราศีพิจิก ซึ่งทำให้คนสองราศีนี้อุทิศตนทุ่มเทให้กับการงาน วิริยะอุตสาหะ สู้ชีวิต ตรงต่อเวลา มีความจริงใจต่อผู้อื่นสามารถพึ่งพาได้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ค่อยโลภ แต่มักใช้สุขภาพค่อนข้างสิ้นเปลือง ควรพิจารณาโทษของความเสื่อมโทรมทางร่างกาย สร้างวจีกรรม (กรรมจากคำพูดสื่อสาร) ได้ง่าย
3. โมหะจริต (ดาวพระราหู)
:ลักษณะ ง่วงซึม เบื่อเซ็ง ดวงตาดูเศร้าซึ้ง พูดเสียงดังกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่กับเรื่องมีสาระจะพูดค่อยพูดเบา นุ่มนวลอ่อนโยนยิ้มง่าย เป็นเพื่อนที่น่าคบหา อารมณ์ไม่ค่อยเสีย ไม่ค่อยโกรธใคร ไม่สังคมกับใครง่าย ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น บางครั้งขาดจุดหมาย เฉื่อยชา ไร้ความมุ่งมั่น หมกมุ่นเฉพาะเรื่องราวของตัวเอง ไม่สนใจอะไรรอบข้างทั้งสิ้น ขี้เบื่อ ชอบสร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิต
เป็นลักษณะจริตของผู้กำเนิดภายใต้ราศีกุมภ์ … แต่สำหรับสถิติความเห็นส่วนตัว “คนราศีกุมภ์” เป็นราศีที่มีความพิเศษอยู่อีกประการ คือ จะมีแทรก วิตกจริต ตามจริตเจ้าของบ้านเดิมอยู่ด้วย จึงทำให้คนราศีกุมภ์มีลักษณะของทั้ง “โมหะจริตและวิตกจริต” ผสมผสานแสดงออกมา คือ เมื่อคิดจะแสดงออกก็จะพูดเก่งชนิดน้ำไหลไฟดับ แต่จะกล้าไม่สุด ทำขู่เล่นใหญ่ แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ลังเลที่จะถอย มองโลกในแง่ร้ายว่าคนอื่นจะเอาเปรียบกลั่นแกล้งเรา คิดว่าตัวเองเก่ง อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ผัดวันประกันพรุ่ง สองลักษณะดังกล่าว จะถูกนำมาใช้อย่างวูบวาบ สลับสับสวิตช์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับอารมณ์และสถานการณ์ในขณะนั้นๆ เป็นหลักใหญ่สำคัญ
ดาวที่ครองโมหะจริตอีกหนึ่งดวง คือ ดาวพระมฤตยู แสดงจริตลักษณะเด่นตรงที่ไม่มีความแน่นอน ไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจ
4. วิตกจริต (ดาวพระเสาร์)
:คือ ผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางฟุ้งซ่าน คิดเรื่องนี้ทีเรื่องนั้นที เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่สามารถยึดเกาะกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ … คำว่า “วิตก” แปลว่าการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ หรือการเพ่งจิตสู่ความคิดในเรื่องต่างๆ … ไม่ได้หมายถึงความกังวลใจแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้น “วิตกจริต” จึงหมายถึง ผู้ที่เดี๋ยวยกจิตสู่เรื่องโน้นเดี๋ยวก็มาเรื่องนี้
เป็นลักษณะจริตของผู้กำเนิดภายใต้ราศีมังกร ซึ่งเป็นผู้อยู่ในโลกความคิด มองโลกในแบบที่ตัวเองอยากให้เป็น แต่ปฏิเสธการมองโลกอย่างที่มันเป็น เป็นคนแบกโลกแบกทุกสิ่ง ใบหน้าจะดูอึมครึม วางตัวแก่กว่าวัย ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้เจ้าการอัตตาสูง เป็นนักพูดที่เก่ง เป็นผู้นำหลายวงการ ละเอียดรอบคอบ เห็นความผิดเล็กความผิดที่คนอื่นไม่เห็น แต่ข้อเสียก็มีอยู่คือ มองจุดเล็กลืมภาพใหญ่ รู้และเห็นทุกปัญหา แต่บ่อยครั้งไม่คิดแก้ไข เพราะมักจะคิดไปก่อนว่ามันแก้ไม่ได้
5. ศรัทธาจริต (ดาวพระพุธ,ดาวพระเกตุ)
:คือ ผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางน้อมใจเชื่อด้วยความเลื่อมใส เบิกบานใจ ยึดมั่นอย่างแรงกล้า ย้ำคิดย้ำพูดในสิ่งที่ตนเองเชื่อถือและศรัทธา มักจะคิดและมองตนเองเป็นคนดี
ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นจุดร่วมจริตของราศีมิถุน ราศีกันย์ ซึ่งทำให้เป็นคนจริงจังพูดมีหลักการ จิตวิทยาสูง โน้มน้าวเก่ง ดังนั้น ทำอะไรก็ตามเกี่ยวกับการพูดการสื่อสาร จะดีมาก พร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเสมอ ข้อควรระวังคือ เป็นผู้ศรัทธาเลื่อมใสได้ง่าย ซึ่งถ้าเลื่อมใสในสิ่งที่ถูกก็ย่อมเป็นคุณ แต่ถ้าไปเลื่อมใสในสิ่งที่ผิดก็ย่อมเป็นโทษ ถ้าปล่อยให้ความเชื่ออยู่เหนือเหตุผลจะถูกหลอกได้ง่าย ควรศึกษาข้อธรรมะเพื่อใช้ “ศรัทธา” ของตนนำเข้าสู่ “ปัญญา”
6. พุทธิจริต หรือ ปัญญาจริต (ดาวอาทิตย์,ดาวพระพฤหัสบดี)
:คือ ผู้ทรงภูมิความรู้หรือเป็นครูอาจารย์ เป็นกลุ่มที่ใช้สติปัญญาและความคิดได้อย่างเฉลียวฉลาด ด้วยความไตร่ตรอง เป็นผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางชอบคิด พิจารณาด้วยเหตุผลอย่างลึกซึ้ง ชอบใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง ไม่เชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผล มองเรื่องต่างๆ ตามภาพความเป็นจริง ใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกต มีความเมตตาไม่เอาเปรียบคน หน้าตาผ่องใสตาเป็นประกาย ไม่ทุกข์ง่าย ถึงจะทุกข์ก็รู้จักเวลาในการปล่อยวาง
ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นจุดร่วมจริตของ ราศีสิงห์ ราศีธนู ราศีมีน กลุ่มพุทธิจริต จึงเป็นกลุ่มราศีที่มีตรรกะ รู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เปิดใจรับข้อเท็จจริง เป็นกัลยาณมิตรที่ดี แต่ก็บ่อยที่กลายเป็นความเฉื่อย พอใจกับชีวิตราบเรียบ
สำหรับ “ราศีสิงห์” เป็นอีกหนึ่งราศีที่อยู่ในกลุ่ม “พุทธิจริต” นอกจากจะได้รับผลดีในทางสติปัญญาของพุทธิจริตแล้ว ยังเป็นพุทธิจริตที่มีความแตกต่างแยกย่อยออกไป คือจะออกในแนวโทสพุทธิจริต คือ เพิ่มลักษณะของโทสะจริต เข้ามา … คนสิงห์จึงกลายเป็นราศีที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ มีอัตตาสูง กลายเป็นมีความเป็นผู้นำ ดวงจิตมีพลังงานมากเกินพอที่จะดึงดูดให้คนให้คล้อยตามเดินเข้าหา มีพลังสมาธิมุ่งมั่นพัฒนาตัวตนและจิตใจให้มีพลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น พยายามทำให้ประโยชน์ให้กับตนเองและสังคมรอบข้างมากขึ้น
จากข้อมูลรายละเอียดของจริตทั้ง 6 แบบที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นข้อมูลฉบับคร่าวๆ ในการพยากรณ์ก็จะมีดาวที่ทับ/ร่วม/เล็งกับลัคนา ซึ่งก็จะมีผลในรายละเอียดปลีกย่อย … แต่สิ่งเหล่านี้ก็จะสามารถช่วยให้เราเข้าใจนิสัยของตนเองและผู้คนรอบข้างได้ดียิ่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง ทำให้รู้ว่าเราจะต้องปรับปรุงแก้ไขอะไร? และจะต้องพัฒนาอะไรบ้างในตัวของเราได้ด้วยเช่นกัน …