ความผิดพลาดของคนที่ทำงานเป็นหมอ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าอภัยเท่าไหร่ ยิ่งการวินิจฉัยนั้น ส่งผลให้คนไข้มีชีวิตที่เหมือนตกนรกอยู่ถึง 2 ปี เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ คุณชาตรี เตี้ยบัวแก้ว (ผู้เสียหาย) และภรรยา คุณพิมพ์ปญา เตี้ยบัวแก้ว ซึ่งเป็นการตรวจสุขภาพเพื่อนำผลไม่ทำเรื่องกู้ในการดำเนินธุรกิจ แต่ผลที่ออกมานั้น กลับบอกว่า คุณชาตรีมีเชื่อ HIV ซึ่งถือว่าเป็การพิพากษาให้ชีวิตคนๆหนึ่งต้องตกอับ
แม้ในครั้งคุณชาตรีต้องการที่ฆ่าตัวตาโดยการให้รถมาชน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เลือกที่จะไปตรวจใหม่ และผลที่ออกมา ทั้งหมด 6 ครั้งนั้น เขาไม่ได้มีเชื้อ HIV อยู่ในตัวเลย ทำให้เกิดความสงสัย และต้องการให้โรงพยาบาลแรก แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง แต่ทางโรงพยบาล ไม่ยออมให้เข้าพบ จึงขู่ที่จะออกสื่อ และได้คุยกับผู้บริหาร ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่ยอมรับและชดใช้ค่าเสียหา จึงทำให้ได้มาออกสื่อในครั้งนี้
ซึ่งตอนนี้ ธุรกิจที่ทำไว้ก็ดูย่ำแย่ จากการไม่ได้เข้าดูแลเพราะไม่มีกระจิตกระใจที่จะทำงาน จึงทำให้สูญเสียรายได้ไป แต่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่ควรจะได้
ซึ่งคุณชาตรี เตี้ยบัวแก้ว (ผู้เสียหาย) และภรรยา คุณพิมพ์ปญา เตี้ยบัวแก้ว มาเปิดใจถึงเรื่องนี้ในรายการโหนกระแส
พี่ชาตรี ตอนนี้อายุเท่าไรแล้วครับ ทำอะไรอยู่บ้าง
อายุ 50 ปี แล้วครับ เป็นเกษตรกรตัวอย่าง ตอนนี้สิ้นสภาพความเป็นมนุษย์ เพราะโดนพิพากษาว่าติดเชื้อ HIV เลยไม่คิดอยากจะทำอะไร เพราะเชื้อตัวนี้เป็นเชื้อที่มีผลกระทบทุกอย่าง สังคมรังเกียจ
ผมย้อนถามกลับไปเรื่องราว เกิดอะไรขึ้นครับ
ผมขยายกิจการ คือ ทำไร่นาสวนผสม เคยเป็นเกษตรกรตัวอย่าง เริ่มดี มีเงินมีทอง จะซื้อที่ข้างเคียง ต้องใช้เงิน โดยมีบริษัทประกันมารับรอง เพราะจะซื้อที่ 7 ล้าน 2 แสน ซึ่งธนาคารบอกกู้ได้แต่ต้องทำประกัน ตายไปก็ไม่ต้องผ่อน ตกลงทำ ก็ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวบ้าน ย่านศรีนครินทร์ ไปกับแฟนครับ พอดีหมอตรวจผลออกมาว่ามีเชื้อ ก็ยังไม่ได้ฟันธงครั้งแรก ก็ขอเลือดไปตรวจครั้งที่ 2 วันนั้นเลยครับ อีก 5 วันได้ผล เสร็จปุ๊บ เขาฟันธงว่าเราติดเชื้อและสมควรไปรักษาเลย เดินออกจากห้องไม่มีอะไรอีกแล้วในชีวิต พิพากษาเลย ผมเดินออกไปจะให้รถชน แต่ภรรยาผมดึงแขนเอาไว้
ส่วนภรรยาบอกว่า เห็นหน้าตอนที่เขาเดินออก ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรแต่หน้าเขาซีด เหมือนคนขาดสติ ถามว่ามีอะไร เขาก็กระซิบข้างหูว่าหมอบอกฉันมีเชื้อ HIV เราก็บอกเป็นไปไม่ได้ เขายืนไม่ได้ ทรุดตัวตรงนั้น แล้วบอกไม่อยากอยู่แล้ว สังคมไม่ยอมรับ ซึ่งเราก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ พยายามจะเดินเข้าไปถามหมอ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เข้าไป เขาบอกห้ามเข้า ก็เลยรีบมาคว้าตัวเขาไว
แล้วที่บอกว่าเขาจะเดินให้รถชนจริงมั้ย
ภรรยา ตอบว่า จริงค่ะ ตัวเขาเองรับไม่ได้
ซึ่งตรวจ 2 ครั้งเป็นเหมือนกันเลยที่โรงพยาบาลเดียว เราทำยังไงต่อ
ภรรยา ตอบว่า ตอนนั้นด้วยผลทำให้ไม่สามารถทำประกันได้ เมื่อทำประกันไม่ได้ก็ไม่สามารถกู้เงินได้ ชีวิตตอนนั้นเราก็มานั่งคิดกันอยู่ว่าทำยังไง เจ้าหน้าที่ก็บอกให้แผนการทำประกัน โดยลดวงเงินการกู้ยืมลง ทำให้เราเสียหายก็เปลี่ยนตัวผู้กู้
แล้วเปลี่ยนตัวคนกู้ต้องตรวจสุขภาพอีกมั้ย
ภรรยา ตอบว่า ตรวจค่ะ เขาให้เราไปตรวจที่โรงพยาบาล ไทยนครินทร์ ซึ่งสามีตามไปด้วย ก็ขอตรวจที่นั่นอีกครั้ง ผลตรวจออกมาว่าไม่เป็น ไม่มีเชื้อ HIV ผ่านไป 10 กว่าวัน หลังจากที่ตรวจมาจากโรงพยาบาลแรก
พอโรงพยาบาลที่ 2 ไม่เป็น ตอนนั้นยังไง
ใจชื้นขึ้น เราก็อยากพิสูจน์อีกว่าโรงพยาบาลต่อไปจะมีเชื้ออีกมั้ย ก็เลยไปโรงพยาบาลรามาธิบดี เรื่องมันยากนะที่จะตรวจเชื้อ เราก็ไปเล่าเรื่องให้เขาฟัง เขาจึงยินยอมตรวจให้ ผลเป็นลบไม่มีเชื้อครับ
ภรรยา ตอบว่า ทางโรงพยาบาลรามาฯ แนะนำว่าให้ทิ้งระยะ 3-6 เดือนแล้วไปตรวจซ้ำใหม่อีกครั้ง เผื่อมีการฟักตัวของเชื้อ เราก็ทำตามที่หมอแนะนำ
หลังจากไปที่โรงพยาบาลรามาฯ แล้วไปไหนต่อ
ไปโรงพยาบาลจุฬาฯ ครับ ซึ่งผลตรวจก็ไม่ได้ฟันธงว่าเป็น HIV ค่าผลเป็นลบครับ
เห็นว่าไปที่โรงพยาบาลรามาฯ อีก
ใช่ครับ อย่างที่บอกว่าทางโรงพยาบาลรามาฯ บอกอาจจะมีการฟักเชื้อ เราก็ไปตรวจให้แน่ใจ ผลออกก็ไม่พบอีก ซึ่งหมอบอกว่าไม่ต้องมาตรวจอีกแล้ว แต่ก็ยังไม่พอใจครับ ไปคลินิกหมอเจตต์ ก็ไม่พบอีกครับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 แล้วครับ
ไปตรวจมา 5 ครั้งแล้ว เราติดต่อทางโรงพยาบาลแรกที่ตรวจเรามั้ย
ติดต่อไปครับ ว่าสิ่งที่ตรวจมามันผิดมั้ย ช่วงแรกเราให้ทนายเป็นคนเดินเรื่องให้ แต่เขาไม่ทำ เขาบอกคุยกับโรงพยาบาลใหญ่ยังไงก็แพ้ เขาเดินเรื่อง 1 ปี เราก็ตัดสินใจเดินลุยเอง ไปเจอเจ้าหน้าเขาก็ไม่สนใจ เราบอกงั้นออกสื่อมั้ย เขาเลยเอาผู้บริหารมาคุย แล้วบอกว่าการผิดพลาดมันน้อยมาก เพราะโรงพยาบาลเขามีมาตรฐาน เราอยากให้เขาแก้ผลให้ ดูแลรับผิดชอบยังไง เขาบอกทำอะไรไม่ได้ เพราะมาตรฐานผมก็มีอยู่ และยินดีด้วยที่คุณไม่เป็น พูดมาแค่นี้ และเสนอว่าตรวจร่างกายมั้ย เขาชดเชยให้แค่นี้
เห็นว่าล่าสุดไปตรวจเพิ่มอีกด้วย
ภรรยา ตอบว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ไปตรวจที่คลินิกนิรนาม สภากาชาดไทย อีกครั้งหนึ่ง เอาให้ชัดเจน ผลออกมาคือไม่มีเชื้อ เป็นที่ที่ 6 ที่ไปตรวจ ถึงตอนนี้ยังไงไม่ได้ติดต่อโรงพยาบาลแรก เพราะเขาปฎิเสธความรับผิดชอบเราแล้ว
ผมถามอย่างนี้ 2 ปีที่ผ่านมาคุณเป็นยังไงบ้าง
ภรรยา ตอบว่า ธุรกิจที่เราจะเดินต่อเราทำไม่ได้ ไม่มีกำลังใจทำธุรกิจต่อ
ส่วนชาตรี ตอบว่า เขาพิพากษาให้เราตายไปแล้ว ความคิดอะไรไม่มีจิตใจทำงาน ไม่สู้แล้ว เกษตรพัง เพราะจุดนี้ เพราะเราไม่ได้ดูแลเลย เมื่อก่อนมีรายดีปีละเป็นล้าน ตอนนี้เหลือเป็นแสน ไปดูสภาพสวนผมตอนนี้ ชีวิตก็พัง
ติดตามชมการเปิดใจแบบหมดเปลือก ได้ในรายการ “โหนกระแส” วันนี้ 20.30-21.00 น. ช่อง 28