เพจ ตีแผ่ ได้มีการแชร์ภาพร้องทุกข์จากลูกเพจ ถึงพฤติกรรมหญิงสาวคนหนึ่งที่ได้หลอกลวงผู้ชายหลายคนให้แต่งงาน เพื่อที่ตนนั้นจะได้ชิงเงินสินสอดก่อนหลบหนีไป
โดยเรื่องราว น.ส.น้ำมนต์ ได้ก่อเหตุลักษณะนี้มาหลายครั้ง โดยการแอบอ้างชวนทำธุรกิจค้าผลไม้ ก่อนนำไปสู่การจัดงานแต่ง แล้วถูกเชิดเงินหนี ล่าสุด นายแมน ผู้เสียหายรายหนึ่ง ได้เปิดเผยเรื่องราวว่า น.ส.น้ำมนต์ หลอกลวงตัวเองด้วยเช่นกัน สูญสินสอดกว่า 5 แสนบาท แต่ยังไม่ทันได้แต่งงาน โดยเจ้าตัวเริ่มคุยกับสาวรายนี้ ประมาณ ช่วงก.ย.59 ผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งตนเห็นฝ่ายหญิงลงรูปทำงานเกี่ยวกับการรับซื้อผลไม้ตามฤดูกาล แล้วนัดเจอกัน ฝ่ายหญิงได้มาหา คุยกันจนกระทั่งฝ่ายหญิง เอ่ยปากว่า หากต้องการให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงเห็นว่าตนไม่ได้มาหลอก ตั้งใจสร้างครอบครัวให้มั่นคง ให้มาลงทุนทำธุรกิจร่วมกัน แล้วตนก็ร่วมวางเงินลงทุนด้วย แล้วตนก็ตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อมาทำธุรกิจ และโอนเงินค่าสินสอดให้อีก ต่อมาประมาณเดือนกุมพาพันธ์ ฝ่ายหญิงอ้างว่าไปดูดวงมา บอกดวงไม่ดี จึงเลื่อนงานแต่งออกไป
หลังจากนั้นตนและครอบครัวทราบแน่ชัดว่าถูกหญิงสาวรายนี้หลอก ทำให้ครอบครัวที่เคยมีหวังจะมีธุรกิจกลับต้องพบกับหนี้สินที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ผู้เป็นพ่อตรอมใจ และล้มป่วยลงประกอบกับมีโรคประจำตัวทำให้อาการทรุดหนักและเสียชีวิตเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนตัวต้องการให้หญิงมิจฉาชีพรายนั้น เข้าขอขมาหน้ารูปศพผู้เป็นพ่อ เพราะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้เป็นพ่ออาการทรุดหนัก
ทั้งนี้ตนได้วางแผนล่อซื้อทุเรียนจากฝ่ายหญิง เมื่อพบตัว จึงพากันไปที่ สภ.แกลง จ.ระยอง แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความให้กลับไปแจ้งที่สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จ.ปทุมธานี ท้องที่เกิดเหตุ ระหว่างการพูดคุย ฝ่ายหญิง อ้างตัวว่าเวียนศีรษะ อยากอาเจียน ตำรวจจึงให้ลงไป แต่ฝ่ายหญิงกลับสะบัดมือและผลักผู้เสียหายจนล้มลงและวิ่งหนีไป ทำให้ไม่สามารถติดตามตัวได้ ซึ่งเชื่อว่าระหว่างทางหญิงคนดังกล่าวน่าประสานให้ขบวนการมารับในจุดเกิดเหตุ
บ้านพักย่านคลอง 3 ถนนรังสิต-นครนายก ที่ฝ่ายหญิงใช้จัดงานแต่งงานที่บ้านแห่งนี้ถึง 2 ครั้ง ในช่วงวันที่ 5 และ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา พบบ้านถูกปิดเงียบ โดยบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านหรู 2 ชั้น สอบถามเจ้าของบ้านให้ข้อมูลว่า ได้ประกาศให้เช่าบ้านหลังนี้บนเว็บไซต์หนึ่ง ซึ่งฝ่ายหญิงได้ติดต่อขอเช่าในราคา 23,000 บาทต่อเดือน โดยจ่ายมัดจำ 40,000 บาท ทั้งนี้เช่าเพียง 2 เดือนก่อนย้ายออกไป โดยนำช่างมาถอดเครื่องปรับอากาศของตน 3 เครื่อง และยกเครื่องซักผ้าที่เพิ่งซื้อให้ใช้ไปด้วยอีก 1 เครื่อง
นางมณฑิรา เพื่อนบ้านใกล้เคียง เผยว่า ที่ผ่านมาเคยเห็นบ้านนี้จัดงาน 2 ครั้ง ตนเข้าใจว่าเป็นงานแต่งงาน 1 ครั้ง ช่วงวันที่ 5 พ.ค.60 และอีกครั้งหนึ่งช่วงปลายเดือน คิดว่าจัดงานทำบุญบ้าน เพราะไม่เห็นบ่าวสาว แต่ทั้ง 2 ครั้ง ก็จะเห็นบ้านมีแขกสูงอายุแต่งชุดผ้าไหม นั่งรถตู้มาร่วมงาน และยอมรับว่าไม่เคยพูดคุยกับหญิงรายนี้ เพราะมนุษยสัมพันธ์ไม่ดี และไม่ทราบว่ามาอยู่กับใคร แต่จะเห็นอยู่คนเดียว โดยเกือบทุกวันเสาร์อาทิตย์บ้านนี้จัดงานสังสรรค์อยู่บ่อยครั้ง มีญาติๆ มากินเลี้ยงกัน ยอมรับด้วยว่าเคยรู้สึกรำคาญ เพราะส่งเสียงดัง
ส่วนวันที่เขาย้ายออกช่วงปลายเดือนพ.ค. ตนเห็นมีช่างมาถอดเครื่องซักผ้า ตอนนั้นตนก็คิดว่าเพียงเอาไปซ่อม จนกระทั่งตอนเย็นมีคุณตาข้างบ้านมาเรียกไปดูว่าเครื่องปรับอากาศก็ถูกถอดไปเช่นกัน ตนจึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าของบ้านให้ทราบ ส่วนตัวคิดว่าที่ผู้ก่อเหตุมาขนแอร์ออกไป ก็เพราะคงอยากได้เงินมัดจำคืนแต่ก็ไม่ได้ จึงเอาของออกไปด้วย
ขณะคนใกล้ชิดครอบครัวฝ่ายหญิง ยืนยันว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น อีกทั้งไม่ได้ติดต่อกับฝ่ายหญิง มานานแล้ว จึงไม่รู้ว่าปัจจุบันไปอยู่ที่ไหน ยอมรับด้วยว่าเคยไปงานแต่งของฝ่ายหญิง เมื่อนานมาแล้วเพียงงานเดียว และไม่ทราบว่าเขาแต่งงานไปกับผู้ชายกี่คนแล้ว
สำหรับแขกที่มาร่วมงานแต่ง ครั้งที่ตนเคยไปร่วมด้วย มีพ่อแม่ของฝ่ายหญิงอยู่ด้วยจริง ซึ่งขณะนี้ทั้งสองคนรู้สึกเสียใจมาก และเชื่อว่าฝ่ายหญิง ต้องไปหลอกลวงพ่อแม่ให้มาร่วมงาน เมื่อเป็นข่าว ตนมีโอกาสได้โทรศัพท์สอบถาม พ่อแม่ ของฝ่ายหญิง ซึ่งก็ระบุว่าช่างมัน ไม่เป็นไร และค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งสองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว เชื่อว่าเงินที่ได้มาน่าจะนำไปปรนเปรอตัวเองอย่างเดียว ด้านนิสัยของฝ่ายหญิง เป็นคนไม่ค่อยพูดเรื่องส่วนตัว และค่อนข้างกล้าได้กล้าเสียตั้งแต่เด็ก
พ.ต.ต.บัญชา ศรีสร้อย สารวัตรสืบสวนสอบสวน สภ.วังสะพุง จ.เลย นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่บ้านของ น.ส.น้ำมนต์ ผู้ต้องหาพร้อมนำหมายจับคดีค้างเก่าฐานนำบัตรเอทีเอ็มของผู้อื่นไปกดเงินของ สภ.หนองหญ้าปล้อง อ.วังสะพุง ไปแสดงต่อผู้ต้องหาด้วย ทั้งเดินทางไปถึง ไม่พบผู้ใดอยู่ภายในบ้าน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านสวนของพ่อผู้ต้องหาพบนางเหมียว (ขอสงวนชื่อจริง) อายุ 40 ปี พี่สาวคนโต ให้การกับตำรวจว่า ไม่ได้ติดต่อกับผู้ต้องหามาตั้งแต่ปี 2557 โดยก่อนหน้านั้นได้มีปัญหาทะเลาะกันเรื่องเงินน้องสาวยืมไป 10,000 บาท แต่ไม่ใช้หนี้
ด้านเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เปิดเผยว่า ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2560 มีชายสองที่เคยตกเป็นเหยื่อ หลอกให้แต่งงานด้วยรายหนึ่ง มาจากจังหวัดเพชรบูรณ์ และอีกรายหนึ่งมาจากจังหวัดยโสธร ให้พาไปตามเอารถกระบะที่ผู้ต้องหา นำมาด้วยหลังแต่งงาน ซึ่งได้นำมาให้พ่อขับที่บ้าน เจ้าหน้าที่ก็ได้ติดตามกดดัน จนพ่อคืนให้ได้สำเร็จ 1 คัน แต่รถกระบะป้ายแดงอีกหนึ่งคันที่เป็นของชายชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ยังไม่ได้คืนล่าสุดมีรายงานว่า พบเหยื่อแล้วถึง 8 ราย ตำรวจออกหมายจับสาวรายนี้ แต่ยังหาตัวไม่พบ