เผลอแป๊บเดียว วันเวลาผันผ่านมาถึงไตรมาสที่ 3 ของปีอีกแล้วนะคะ ช่วงต้นปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์มากมายหลายอย่างเกิดขึ้นบนโลกของเรา บางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เราต้องก้าวไปข้างหน้ากะทันหัน โดยไม่ทันได้ตั้งตัว บางเหตุการณ์ทำให้เราจำต้องหยุดอยู่กับที่ มิอาจขยับตัวไปไหนได้ดังใจนึก และบางเหตุการณ์ก็ทำให้เราต้องถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว เพื่อทบทวนแพลนที่วางไว้ให้ชัวร์อีกครา
ไม่ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นกับเพื่อนๆ ก็ตาม ขอให้เข้าใจว่าไม่ได้มีแค่เพื่อนๆ คนเดียวเท่านั้นที่ต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าวเพียงลำพัง เพื่อนๆ ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมบนโลกใบนี้อีกมาก ดังนั้น หยุดแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว แล้วหันมาปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ให้ไม่เครียดกันดีกว่านะคะ เราเชื่อว่าถ้าเพื่อนๆ ทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำได้เป็นประจำล่ะก็ อีกเดี๋ยวเพื่อนๆ ก็จะสามารถลาออกจากวงการอมทุกข์ได้แล้วล่ะค่ะ ส่วนขั้นตอนการปรับเปลี่ยนมุมมองให้ไม่เครียดจะเป็นเช่นไรนั้น ไปดูกันเลยค่ะ
1.อย่าดูถูกตัวเองด้วยการไม่เห็นคุณค่าตัวเอง
ความคิดด้านลบที่นำพาให้ชีวิตติดลบนั้น ส่วนใหญ่มักมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่เราดูถูกตัวเองนี่ล่ะ หรือบางทีอาจจะเริ่มต้นจากการตัดพ้อกับตัวเองก่อน เช่น มองว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น คิดว่าตัวเองไม่มีความสำเร็จใดๆ ให้รู้สึกภาคภูมิใจ หรือคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะไปสู้กับคนอื่นได้ เริ่มต้นปรับ mindset ใหม่ให้ไม่เครียดด้วยการมองว่า คนทุกคนเก่งกันคนละแบบ บางคนเก่งเรื่องการออกแบบบ้าน บางคนเก่งเรื่องการทำอาหาร บางคนเก่งเรื่องการตัดเย็บเสื้อผ้า ครั้นจะให้คนออกแบบบ้านสลับหน้าที่กับคนทำอาหาร หรือให้คนทำอาหารไปตัดเย็บเสื้อผ้าแทน แต่ละฝ่ายก็อาจทำหน้าที่ของอีกฝ่ายได้ไม่เต็มที่ หรือบางทีอาจจะทำไม่ได้เลยก็ได้ ดังนั้น อย่าดูถูกตัวเอง โฟกัสที่ข้อดีของตัวเองเสมอ แล้วนำจุดเด่นนั้นออกมาขัดเกลา ระลึกไว้ว่าคุณเองก็มีความสามารถเฉพาะตัวที่มิอาจหาคนอื่นมาทำแทนได้เช่นกัน
2.เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความเข้าใจ
เมื่อเกิดความเข้าใจในบทบาทของคนในสังคม และตระหนักรู้ว่าคนแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกัน จึงจำต้องพึ่งพาอาศัยกันแล้ว ขั้นตอนต่อไปในการปรับ mindset ใหม่ให้ไม่เครียดก็คือ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างถูกวิธี ซึ่งก็ได้แก่การปฏิบัติตนตามมารยาทสังคมขั้นพื้นฐาน รู้จักวางตน ประมาณตน ควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสม พูดจาให้ถูกกาลเทศะ มีน้ำใจไมตรีต่อคนรอบข้าง แบ่งหน้าที่ให้แต่ละคนได้รับผิดชอบในส่วนของตน ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน อย่านำงานทุกอย่างมากองไว้ที่ตัวเองหมด เพียงเพราะกลัวว่าคนอื่นจะทำได้ไม่ดีตามมาตรฐานของเรา เรียนรู้ที่จะแบ่งปันและรอคอยบ้าง มิฉะนั้น ตัวเราเองนั่นแหละที่จะเป็นทุกข์ นอกจากจะทุกข์กายแล้ว ยังต้องมาทุกข์ใจกับการแบกโลกไว้บนบ่าอีกต่างหาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ยอมรับว่าคนทุกคนล้วนแตกต่าง อย่าคาดหวังให้เราเป็นได้ดั่งเขา หรือให้เขาเปลี่ยนมาเป็นแบบเรา ยอมรับตัวตนของอีกฝ่าย และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในแบบที่เขาเป็นให้ได้
3.ฝึกสมาธิด้วยการกำหนดจิตอยู่กับปัจจุบัน
สาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้หลายๆ คนเครียดหนักมาก จนไม่อาจปล่อยวางสิ่งต่างๆ ได้นั้น เป็นเพราะเขาเหล่านั้นใช้ชีวิตติดอยู่กับอดีตหรือเฝ้าพะวงเรื่องอนาคตมากกว่าที่จะอยู่กับปัจจุบัน ปรับ mindset ใหม่ให้ไม่เครียดโดยการฝึกสมาธิ ฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันทุกขณะจิต อดีตที่ผ่านมาเราเคยทำเรื่องแย่ๆ อะไรไว้ อย่ามัวจับจดแต่เรื่องนั้น หยิบยกบทเรียนสอนใจในอดีตมาใช้ในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้ตนเองทำผิดซ้ำสอง แล้วก้าวให้พ้นปมในอดีตให้ได้ ทำทุกวันให้เป็นวันที่ดีที่สุดอยู่เสมอ จะได้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องในอนาคต
4.หมั่นดูแลสุขภาพด้วยวิธีการดูแลสุขภาพเบื้องต้น
บางครั้งการที่คนๆ หนึ่งเกิดความเศร้าแบบเอาอะไรมาฉุดก็ฉุดไม่อยู่นั้น มิใช่เพราะว่าเขาเฝ้าแต่อมทุกข์เสมอไป แต่อาจเป็นเพราะระบบอวัยวะภายในร่างกายทำงานผิดปกติ การหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ผิดเพี้ยน จึงเป็นเหตุให้บุคคลนั้นๆ เกิดความเครียดสะสม สภาวะดังกล่าวอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ในอนาคต หากไม่ได้รับการดูแลรักษาให้ทันท่วงที ข้อควรทำอีกประการสำหรับการปรับ mindset ใหม่ให้ไม่เครียด คือ การดูแลสุขภาพด้วยวิธีการดูแลสุขภาพเบื้องต้นเป็นประจำ อาทิ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้ผ่องใส ตรวจสุขภาพทุกปี หากสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้จนเป็นกิจวัตร จะช่วยเปลี่ยนชีวิตติดลบให้เป็นสุขได้อย่างแน่นอน