รายละเอียดสินค้า
ประวัติพอสังเขป ของ พระครูปัญญาสารคณี ( หลวงพ่อบัว )
วัดแสวงหา อ.แสวงหา จ.อ่างทอง
นามเดิม บัว นิ่มนาค
เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๕๔ ( แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปี กุน )
เป็นบุตรคนที่ ๒ ของ
นายจัน นางนาค นิ่มนาค ประกอบอาชีพทำนา
มีพี่น้องรวม บิดา-มารดา ๕ ท่านได้แก่
๑.นางสาว จวน นิ่มนาค
๒.พระครูปัญญาสารคณี (หลวงพ่อบัว)
๓.นายบุญ นิ่มนาค
๔.นางแป้น พึ่งผล
๕.นางตี๋ ทองนุ้ย
ชื่อ " บัว " เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามตำราโหราศาสตร์ โดยสมัยนั้น โยมพ่อท่านว่าคนเกิดปีกุนตามตำราว่า
" ขวัญ " อยู่ที่ต้นบัว จึงตั้งชื่อให้ว่า " บัว " ซึ่งถือเป็นมงคลนามโดยไม่มีชื่อเล่นอย่างอื่น
ชีวิตวัยเด็กก่อนอุปสมบท
เมื่อเกิดมาท่านได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี จากบิดา-มารดาของท่าน จนเมื่อถึงวัย ๑๒ ปี โยมแม่ได้ถึงแก่กรรม โยมพ่อจึงได้นำท่านมาฝากเป็นศิษย์วัดแสวงหา โดยท่านได้ศึกษาเล่าเรียนทั้งภาษาไทยและภาษาขอม กับ หลวงพ่ออ่อง ดิสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดแสวงหาจนสามารถอ่านออกเขียนได้
จนถึง ปี พ.ศ. ๒๔๖๘ อายุได้ ๑๔ ปี โยมพ่อได้นำไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเพิ่ม เจ้าอาวาสวัดสุวรรณราชหงษ์ (ตั้งอยู่ที่ ต.องครักษ์ อ.โพธิ์ทอง ปัจจุบัน) เพื่อศึกษาต่อ หลวงพ่อท่านเป็นบุคคลที่ ฉลาดและสติปัญญาดี เรียนรู้เร็ว ได้รับการคัดเลือกให้เรียนต่อแต่ โยมพ่อเป็นห่วงจึงรับตัวกลับมาบ้านเกรงว่าจะไกลบ้าน
หลวงพ่อกลับมาอยู่บ้านหลังจากนั้น ประมาณ ๔-๕ ปี
แล้วเมื่ออายุครบ ๒๐ บริบูรณ์ได้บรรพชาเป็นสามเณรก่อนโดยโยมพ่อให้เหตุผลว่าจะเสียความตั้งใจถ้า บวชพระแล้วโดนทหาร จึงบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ระยะนึง
จึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ตรงกับวัน แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก
โดยมี พระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อพระครูศรี วิรายะโสภิต เจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ อ.ค่ายบางระจันทร์ จ.สิงห์บุรีพระอธิการอ้อน (บุญปลีก) เจ้าอาวาสวัดโคกพุทธทรา เป็นกรรมวาจาจารย์ และ หลวงปู่โล่ ทัพพิโย เป็น อนุสาวนาจารย์
ในการอุปสมบทนั้นหลวงพ่อมีความปรารถนาเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้โยมแม่ โดยหลวงพ่อท่านได้ตั้งใจไว้ ๓ ประการว่า
ประการที่ ๑ จะอุปสมบทอย่างน้อย ๓ พรรษา
ประการที่ ๒ จะต้องท่องพระปาฏิโมกข์ให้ได้
ประการที่ ๓ จะต้องเทศน์ให้ได้
เหตุการณ์หลังอุปสมบท
พ.ศ.๒๔๗๕ บวชเป็นพรรษาแรกหลวงพ่ออ่อง ดิสโร ท่านได้ เมตตาหลวงพ่อให้หลวงพ่อท่านท่องหนังสือและตำราที่ใช้ในการสวดมนต์ทั่วไป
พ.ศ.๒๔๗๖ พรรษาที่สองสอบนักธรรมชั้นตรีได้ และท่องปาฏิโมกข์ ได้สมดังปรารถนา ประการที่ ๒
พ.ศ.๒๔๗๗ พรรษาที่สามสอบนักธรรมชั้นโทได้
พ.ศ.๒๔๗๘ พรรษาที่สี่สอบนักธรรมชั้นเอกได้
พ.ศ.๒๔๘๒ พรรษาที่แปด ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส แทน หลวงพ่อ อ่อง ดิสโร
พ.ศ.๒๔๘๕ พรรษาที่สิบ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลแสวงหา
พ.ศ.๒๔๘๘ พรรษาที่สิบสาม ได้รับแต่งตั้งเ็ป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.๒๔๙๖ พรรษาที่ยี่สิบเอ็ด ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอแสวงหา
พ.ศ.๒๕๐๐ พรรษาที่ยี่สิบห้า ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครู ชั้นโท โดยพระราชทินนามว่า
"พระครูปัญญาสารคณี"
พ.ศ.๒๕๐๗ พรรษาที่สามสิบสอง ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก โดยใช้พระราชทินนามเดิม จากสังฆราช อยู่ ญาโณทัยมหาเถระ
พ.ศ.๒๕๑๗ พรรษาที่สี่สิบสอง ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ โดยใช้พระราชทินนามเดิม จากสังฆราช วาสน์ วาสนมหาเถระ
ทั้งหมดนี้ก็ได้สมปรารถนา ประการที่ ๑ แล้วว่าจะต้องบวชอย่างน้อย ๓ พรรษา
อย่างไรก็ตามหลวงพ่อท่านก็ได้ศึกษาวิปัสนากรรมฐาน และพระเวทย์กับเกจิอาจารย์หลายรูป ดังจะกล่าวคราวๆดังนี้
๑.พระครูศรีวิริยะโสภิต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระปรางค์
ท่านเป็นทั้งอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อและเป็นทั้งอาจารย์สอนคาถา อาคมต่างๆ เกี่ยวกับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล จนมีความเฉี่ยวฉานและชำนาญเป็นอย่างดี
โดยลูกศิษย์ของหลวงพ่อศรี ที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันเป็นอย่างดี อีก 2 ท่านก็คือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี และ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตตาราม จังหวัดชัยนาท
๒.หลวงพ่ออ่อง ดิสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดแสวงหา
หลวงพ่ออ่องท่านเป็นลงอักขระบนกระหม่อนของหลวงพ่อบัว โดยส่วนตัวนั้นหลวงพ่ออ่องท่านหนังเหนี่ยวคงกระพัน แต่ท่านก็มิได้เรียนสักจากหลวงพ่ออ่อง แต่ท่านได้ร่ำเรียนวิชารดน้ำมนต์และได้ไปเรียนเพิ่มเติมจากหมอชาวเกรี่ยง ที่จังหวัดกาญจนบุรี ตามคำแนะนำของหลวงพ่ออ่อง อีกด้วย
๓.หลวงพ่อจ่าย อดีตเจ้าอาวาสวัดรุ้ง
ท่านได้ไปเรียนเทศน์และเรียนทำสีผึ้งเมตตา มหานิยม อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาด ซึ้งสมัยนั้นไม่มีใครเก่งเกินหลวงพ่อจ่าย โดยส่วนตัวแล้วหลวงพ่อท่านได้รู้จักกับหลวงพ่อจ่ายมาก่อนและท่านก็เมตตา หลวงพ่อมากและมีความรักใคร่ ประกอบกับท่านมีอายุมากแล้วหลวงพ่อจ่ายท่านจึงมอบตำราทั้งหมดและแนะนำวิธี การต่างๆ ให้หลวงพ่อ
๔.หลวงพ่อหล่ำ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังจิก
ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อศรีเหมือนกัน แต่มีความชำนาญเฉพาะทางด้าน การทำแหวนและวัตถุมงคล
ท่านได้ศึกษาเพิ่มเติม และหลวงพ่อหล่ำได้มอบ พระผงสุพรรณ ให้หลวงพ่อบัวมา 1 องค์ ซึ้งท่านได้นำติดตัวมาตลอด
๕.หลวงพ่อทอง อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำทอง
ตามคำแนะนำของหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทองที่ได้พบกันตอนไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่ วัดยาง ท่านจึงได้ไปเรียนการเจิมและลงอักขระ เลขยันต์ ตลอดจนภาษาขอม จนแตกฉาน สามารถอ่านออก เขียนได้
ท่านมีความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับในบรรดาเกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยนั้น เมื่อมีการปลุกเสกวัตถุมงคลหลาย ๆ ครั้งก็จะมีหลวงพ่อร่วมปลุกเสกด้วยเสมอ
และเมื่อกาลเวลาล่วงเลยมาเรื่อย ท่านได้ปฏิบัติในกิจของสงฆ์อย่างเคร่งคัดและทำนุบำรุงวัดแสวงหา ให้พัฒนามาโดยตลอด จนมาถึงวันที่ ๒๓ กรกฏาคม ๒๕๓๗ เวลา ๐๘.๔๙ น. ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งตรงกับวันเข้าพรรษา หลวงพ่อท่านก็ได้มรณะภาพ จากพวกเราไปนำมาซึ้งความเศร้าเสียใจของบรรดาศิษย์และคณาจารย์หลายท่านที่ เคารพนับถือท่าน
สิริอายุได้ ๘๓ ปี ๖๒ พรรษา
ทั้งหมดนี้คือ ประวัติโดยสังเขปของหลวงพ่อบัว วัดแสวงหา ที่ผมเคารพนับถือ องค์นึงครับ
วัดแสวงหา อ.แสวงหา จ.อ่างทอง
นามเดิม บัว นิ่มนาค
เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๕๔ ( แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปี กุน )
เป็นบุตรคนที่ ๒ ของ
นายจัน นางนาค นิ่มนาค ประกอบอาชีพทำนา
มีพี่น้องรวม บิดา-มารดา ๕ ท่านได้แก่
๑.นางสาว จวน นิ่มนาค
๒.พระครูปัญญาสารคณี (หลวงพ่อบัว)
๓.นายบุญ นิ่มนาค
๔.นางแป้น พึ่งผล
๕.นางตี๋ ทองนุ้ย
ชื่อ " บัว " เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามตำราโหราศาสตร์ โดยสมัยนั้น โยมพ่อท่านว่าคนเกิดปีกุนตามตำราว่า
" ขวัญ " อยู่ที่ต้นบัว จึงตั้งชื่อให้ว่า " บัว " ซึ่งถือเป็นมงคลนามโดยไม่มีชื่อเล่นอย่างอื่น
ชีวิตวัยเด็กก่อนอุปสมบท
เมื่อเกิดมาท่านได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี จากบิดา-มารดาของท่าน จนเมื่อถึงวัย ๑๒ ปี โยมแม่ได้ถึงแก่กรรม โยมพ่อจึงได้นำท่านมาฝากเป็นศิษย์วัดแสวงหา โดยท่านได้ศึกษาเล่าเรียนทั้งภาษาไทยและภาษาขอม กับ หลวงพ่ออ่อง ดิสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดแสวงหาจนสามารถอ่านออกเขียนได้
จนถึง ปี พ.ศ. ๒๔๖๘ อายุได้ ๑๔ ปี โยมพ่อได้นำไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเพิ่ม เจ้าอาวาสวัดสุวรรณราชหงษ์ (ตั้งอยู่ที่ ต.องครักษ์ อ.โพธิ์ทอง ปัจจุบัน) เพื่อศึกษาต่อ หลวงพ่อท่านเป็นบุคคลที่ ฉลาดและสติปัญญาดี เรียนรู้เร็ว ได้รับการคัดเลือกให้เรียนต่อแต่ โยมพ่อเป็นห่วงจึงรับตัวกลับมาบ้านเกรงว่าจะไกลบ้าน
หลวงพ่อกลับมาอยู่บ้านหลังจากนั้น ประมาณ ๔-๕ ปี
แล้วเมื่ออายุครบ ๒๐ บริบูรณ์ได้บรรพชาเป็นสามเณรก่อนโดยโยมพ่อให้เหตุผลว่าจะเสียความตั้งใจถ้า บวชพระแล้วโดนทหาร จึงบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ระยะนึง
จึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ตรงกับวัน แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก
โดยมี พระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อพระครูศรี วิรายะโสภิต เจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ อ.ค่ายบางระจันทร์ จ.สิงห์บุรีพระอธิการอ้อน (บุญปลีก) เจ้าอาวาสวัดโคกพุทธทรา เป็นกรรมวาจาจารย์ และ หลวงปู่โล่ ทัพพิโย เป็น อนุสาวนาจารย์
ในการอุปสมบทนั้นหลวงพ่อมีความปรารถนาเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้โยมแม่ โดยหลวงพ่อท่านได้ตั้งใจไว้ ๓ ประการว่า
ประการที่ ๑ จะอุปสมบทอย่างน้อย ๓ พรรษา
ประการที่ ๒ จะต้องท่องพระปาฏิโมกข์ให้ได้
ประการที่ ๓ จะต้องเทศน์ให้ได้
เหตุการณ์หลังอุปสมบท
พ.ศ.๒๔๗๕ บวชเป็นพรรษาแรกหลวงพ่ออ่อง ดิสโร ท่านได้ เมตตาหลวงพ่อให้หลวงพ่อท่านท่องหนังสือและตำราที่ใช้ในการสวดมนต์ทั่วไป
พ.ศ.๒๔๗๖ พรรษาที่สองสอบนักธรรมชั้นตรีได้ และท่องปาฏิโมกข์ ได้สมดังปรารถนา ประการที่ ๒
พ.ศ.๒๔๗๗ พรรษาที่สามสอบนักธรรมชั้นโทได้
พ.ศ.๒๔๗๘ พรรษาที่สี่สอบนักธรรมชั้นเอกได้
พ.ศ.๒๔๘๒ พรรษาที่แปด ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส แทน หลวงพ่อ อ่อง ดิสโร
พ.ศ.๒๔๘๕ พรรษาที่สิบ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลแสวงหา
พ.ศ.๒๔๘๘ พรรษาที่สิบสาม ได้รับแต่งตั้งเ็ป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.๒๔๙๖ พรรษาที่ยี่สิบเอ็ด ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอแสวงหา
พ.ศ.๒๕๐๐ พรรษาที่ยี่สิบห้า ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครู ชั้นโท โดยพระราชทินนามว่า
"พระครูปัญญาสารคณี"
พ.ศ.๒๕๐๗ พรรษาที่สามสิบสอง ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก โดยใช้พระราชทินนามเดิม จากสังฆราช อยู่ ญาโณทัยมหาเถระ
พ.ศ.๒๕๑๗ พรรษาที่สี่สิบสอง ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ โดยใช้พระราชทินนามเดิม จากสังฆราช วาสน์ วาสนมหาเถระ
ทั้งหมดนี้ก็ได้สมปรารถนา ประการที่ ๑ แล้วว่าจะต้องบวชอย่างน้อย ๓ พรรษา
อย่างไรก็ตามหลวงพ่อท่านก็ได้ศึกษาวิปัสนากรรมฐาน และพระเวทย์กับเกจิอาจารย์หลายรูป ดังจะกล่าวคราวๆดังนี้
๑.พระครูศรีวิริยะโสภิต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระปรางค์
ท่านเป็นทั้งอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อและเป็นทั้งอาจารย์สอนคาถา อาคมต่างๆ เกี่ยวกับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล จนมีความเฉี่ยวฉานและชำนาญเป็นอย่างดี
โดยลูกศิษย์ของหลวงพ่อศรี ที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันเป็นอย่างดี อีก 2 ท่านก็คือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี และ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตตาราม จังหวัดชัยนาท
๒.หลวงพ่ออ่อง ดิสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดแสวงหา
หลวงพ่ออ่องท่านเป็นลงอักขระบนกระหม่อนของหลวงพ่อบัว โดยส่วนตัวนั้นหลวงพ่ออ่องท่านหนังเหนี่ยวคงกระพัน แต่ท่านก็มิได้เรียนสักจากหลวงพ่ออ่อง แต่ท่านได้ร่ำเรียนวิชารดน้ำมนต์และได้ไปเรียนเพิ่มเติมจากหมอชาวเกรี่ยง ที่จังหวัดกาญจนบุรี ตามคำแนะนำของหลวงพ่ออ่อง อีกด้วย
๓.หลวงพ่อจ่าย อดีตเจ้าอาวาสวัดรุ้ง
ท่านได้ไปเรียนเทศน์และเรียนทำสีผึ้งเมตตา มหานิยม อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาด ซึ้งสมัยนั้นไม่มีใครเก่งเกินหลวงพ่อจ่าย โดยส่วนตัวแล้วหลวงพ่อท่านได้รู้จักกับหลวงพ่อจ่ายมาก่อนและท่านก็เมตตา หลวงพ่อมากและมีความรักใคร่ ประกอบกับท่านมีอายุมากแล้วหลวงพ่อจ่ายท่านจึงมอบตำราทั้งหมดและแนะนำวิธี การต่างๆ ให้หลวงพ่อ
๔.หลวงพ่อหล่ำ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังจิก
ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อศรีเหมือนกัน แต่มีความชำนาญเฉพาะทางด้าน การทำแหวนและวัตถุมงคล
ท่านได้ศึกษาเพิ่มเติม และหลวงพ่อหล่ำได้มอบ พระผงสุพรรณ ให้หลวงพ่อบัวมา 1 องค์ ซึ้งท่านได้นำติดตัวมาตลอด
๕.หลวงพ่อทอง อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำทอง
ตามคำแนะนำของหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทองที่ได้พบกันตอนไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่ วัดยาง ท่านจึงได้ไปเรียนการเจิมและลงอักขระ เลขยันต์ ตลอดจนภาษาขอม จนแตกฉาน สามารถอ่านออก เขียนได้
ท่านมีความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับในบรรดาเกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยนั้น เมื่อมีการปลุกเสกวัตถุมงคลหลาย ๆ ครั้งก็จะมีหลวงพ่อร่วมปลุกเสกด้วยเสมอ
และเมื่อกาลเวลาล่วงเลยมาเรื่อย ท่านได้ปฏิบัติในกิจของสงฆ์อย่างเคร่งคัดและทำนุบำรุงวัดแสวงหา ให้พัฒนามาโดยตลอด จนมาถึงวันที่ ๒๓ กรกฏาคม ๒๕๓๗ เวลา ๐๘.๔๙ น. ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งตรงกับวันเข้าพรรษา หลวงพ่อท่านก็ได้มรณะภาพ จากพวกเราไปนำมาซึ้งความเศร้าเสียใจของบรรดาศิษย์และคณาจารย์หลายท่านที่ เคารพนับถือท่าน
สิริอายุได้ ๘๓ ปี ๖๒ พรรษา
ทั้งหมดนี้คือ ประวัติโดยสังเขปของหลวงพ่อบัว วัดแสวงหา ที่ผมเคารพนับถือ องค์นึงครับ
ชัวร์พระ.คอมwww.surepra.com